• 4081 เข้าชม
  • 25 กรกฎาคม 2560

ระบบกรองน้ำที่ใช้ทั่วไปมีอยู่ 3 แบบ

1. ระบบกรองทราย (Sand filter) เป็นระบบที่ง่าย และประหยัด เหมาะกับสระโดยทั่วไป  เพราะมีหัวมัลติพอร์ทวาล์ว ควบคุมการทำงานให้เป็นไปตามที่ต้องการถังกรองทราย ระบบกรองด้วยทราย

2. ระบบกรองผ้าด้วยผงกรอง (D.E.Filter) มีความละเอียดในการกรองน้ำได้ดีกว่าระบบกรองแบบทรายกรอง  แต่มีข้อเสีย คือค่าใช้จ่ายในการเติมผงกรอง และผ้ากรอง  นอกจากระบบกรองแล้วการบำบัดอาจมีวิธีอื่น เช่น การเติมน้ำยาปรับสภาพน้ำต่างๆด้วย

3. ระบบกรองแบบกระดาษ (Cartribge Filter) ระบบนี้จะมีความละเอียดในการกรองน้ำดีกว่าระบบผ้า  แต่มีข้อเสียคือ ต้องมีการเปลี่ยนไส้กรองกระดาษค่อนข้างสูงมากกว่าผ้ากรอง

เมื่อมีสระว่ายน้ำแล้ว สิง่ที่ต้องคำนึงถึงต่อไปคือการทำความสะอาด เริ่มต้นจากการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอว่าเครื่องกรองอยู่ในสภาพดีหรือไม่ อย่าปล่อยให้อุดตันเพราะมันจะส่งผลต่อความใสของน้ำโดยตรง  ใน1 วัน  ควรเดินเครื่องกรองอย่างน้อย 12 ชั่วโมง สำหรับเครื่องกรองชนิดผง สำหรับชนิดที่ใช้ทรายกรอง  ควรเพิ่มเป็น 20 ชั่วโมง แต่ไม่ว่าจะชนิดใด ถ้ามีคนเล่นน้ำมากๆ ควรเพิ่มระยะเวลาให้นานมากขึ้นอีก และควรทำความสะอาด เมื่อความดันเพิ่มขึ้นเป็น 15 ปอนด์ ต่อ ตารางนิ้ว ส่วนการทำความสะอาดตัวสระนั้น เริ่มจากการตรวจสอบคุณภาพของน้ำ ด้วยชุดทดสอบน้ำเพื่อตรวจวัดระดับของสารเคมีที่ใส่ลงไป  เพื่อควบคุมสภาพน้ำซึ่งได้แก่ การตรวจวัดระดับคลอรีน และตรวจสอบสภาพความเป็น กรด-ด่างของน้ำ

ที่มา http://www.fountainthai.com/ความรู้เรื่องระบบกรองน้ำ.html